ก่อนอื่นถ้าท่านใดยังไม่ได้อ่าน ตอนที่ 1 ติดตามได้จาก ทริป 3 วัน 2 คืน กาญจนบุรี ตอนที่ 1 ปราสาทเมืองสิงห์ ถ้ำกระแซ เขื่อนศรีนครินทร์ นะคร๊าบบบ
แอ๊น.. แอ้น.. แอนนนน… เช้าอีกวันแล้ววว..
เช้านี้ต้องรีบตื่นกว่าปกติเพราะเรามีนัดสำคัญที่จะต้องไปใส่บาตรที่สะพานมอญกัน มาเที่ยวสังขละบุรีแล้วใครไม่ได้ตื่นมาใส่บาตรที่สะพานมอญนี่เหมือนยังมาไม่ถึงนะครับ
06.30 น. เราเดินออกจากที่พักก็เห็นบรรยากาศและเดาได้เลยว่าคนน่าจะเยอะแน่เพราะทั้งรถทั้งคนเต็ม 2 ข้างถนนไปหมด เราหยุดซื้อชุดตักบาตรและอาหารแห้ง จากเด็กที่ตั้งโต๊ะขายข้างทางชุดละประมาณ 40 บาท แล้วก็ตรงไปยังสะพานทันที
และแล้ว...นี่คือสิ่งที่เห็นครับ.. นอกจากหมอกจะลงหนาแล้วยังมีปริมาณคนล้นหลาม ประมาณไม่ถูกเลยว่ากี่คน รู้เพียงแต่ว่าแทบไม่มีที่เดินเลย ยังกับอัมพวายามเย็นในวันหยุดยาว หวั่นใจอยู่ว่าถ้าสะพานไม่แข็งแรงมีหวังได้พังลงไปอีกรอบแน่..
[
attachment=4706]
อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามเราก็หาที่ใส่บาตรจนได้น่า หุหุ
[
attachment=4707]
จากนั้นก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศนิดหน่อย เช้านี้มีหมอกลงหนาพอสมควรทั้งที่เมื่อวานและวันนี้ไม่มีฝนเลย
[
attachment=4708]
หลังใส่บาตรและเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาล่องเรือไปชมวัดจมน้ำกันแล้วละครับ เราติดต่อเรือพาไปชม 3 วัด ราคาเหมาเที่ยวไปกลับ 500 บาท ใช้เวลาทั้งล่องเรือและไหว้พระ ถ่ายรูป ทั้งหมดประมาณ 2 ชม. ประกอบด้วยวัดสมเด็จ วัดศรีสุวรรณและวัดวังก์วิเวการาม ตามลำดับ
เรือออกแล้ว ราว 7.00 น. อากาศเย็นกำลังดี
[
attachment=4709]
ระหว่างล่องเรือไปก็จะเห็นมีแพของนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกลุ่มและพักเป็นแพเดี่ยวกันอยู่หลายแพ ลักษณะที่มองเห็นน่าจะกำลังงัวเงียตื่น สงสัยเมื่อคืนหมดไปหลายกลม 555+
และที่มองเห็นสีเหลืองๆ ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ นั่นก็คือ “
เจดีย์พุทธคยา” ครับ
[
attachment=4710]
พระเจดีย์พุทธคยา เป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่กับวัดวังก์วิเวการาม เป็นเจดีย์องค์ใหญ่นี้ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ มีสีเหลืองทอง สามารถมองเห็นได้จากแม่น้ำซองกาเลีย ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงเป็นเจดีย์ที่มีผู้คนมาสักการะ บูชาองค์เจดีย์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เจดีย์พุทธคยายังเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและงานเทศกาลเช่น งานวันสงกรานต์
เจดีย์พุทธคยา ตั้งขึ้นอยู่ไม่ไกลจากวัดวังก์วิเวการาม ห่างไปประมาณ 650 เมตร เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 ริเริ่มโดย
หลวงพ่ออุตตมะ ด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อที่จะจำลองจากเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในประเทศอินเดีย มาไว้เป็นศูนย์กลางสำหรับชาวพุทธที่อยู่รวมกันได้โดยไม่แยกเชื้อชาติ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมด ได้รับจากเงินบริจาคของพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใส ศรัทธาในหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งบริจาคมาทั้งที่เป็น เงินสด ทองคำ และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ใช้แรงงานคนมอญทั้งผู้ชายและผู้หญิงในหมู่บ้านประมาณ 400 คน ช่วยกันเผาอิฐมอญจำนวน 260,000 ก้อน ต่อมา พ.ศ. 2525 เจดีย์ได้ถูกเสริมให้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
[
attachment=4711]
ส่วนร่องรอยกองดิน 3 กองนี้พี่คนขับเรือซึ่งรับหน้าที่เป็นไกด์ด้วย บอกว่านี่คือ “
ด่านเจดีย์ 3 องค์” ในอดีต ก่อนที่จะมีการย้ายไปยังตำแหน่งปัจจุบัน
นั่งเรือชมบรรยากาศ ฟังไกด์บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองสังขละบุรีในอดีตว่าโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ อยู่ตรงไหน สักพักก็มาถึงวัดแรกที่จะไปชมและไหว้พระกันแล้วครับ วัดที่ว่านี้คือ “
วัดสมเด็จ” ครับ ซึ่งพี่คนขับเรือบอกว่าไปวัดที่อยู่ไกลก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาวัดที่อยู่ใกล้
แต่… วัดสมเด็จนี้ไม่ได้อยู่ติดหรืออยู่ในน้ำเหมือนวัดอื่นๆ นะครับ ซึ่งหลังจากเรือเทียบท่าแล้วจะต้องเดินขึ้นเนินเขาไปอีกสักพัก น่าจะประมาณ 800 เมตร เห็นจะได้
[
attachment=4712]
ว่าแล้วก็ออกเดินกันเลยครับ เดี๋ยวจะสาย
วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองบาดาล เป็นอุโบสถของวัดสมเด็จ (เก่า) ที่ถูกทิ้งร้าง เมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี ภายในอุโบสถมีพระประธานสภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรใหญ่ปกคุลมทำให้ดูขลังและเก่าแก่ด้วย
ระหว่างเดินไปวัดสมเด็จ ก็จะมองเห็นวัดอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปครับ ที่เห็นในรูปนั้นคือ “
วัดศรีสุวรรณ” ซึ่งเราจะไปเป็นวัดสุดท้ายครับ
[
attachment=4713]
ระหว่างทางเดินจะมีชาวมอญวางขายดอกไม้ ธูปเทียน บริการนักท่องเที่ยวใช้สำหรับไหว้พระด้วยครับ
[
attachment=4714]
วัดแรกครับ ยังไหวๆ (แฮ่กๆๆ)
ขากลับมานี้นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะกว่าขาไปแล้ว เพราะเริ่มสายนิดๆ คนคงเริ่มซาจากใส่บาตรที่สะพานมอญ แล้วนั่งเรือมาไหว้พระกันมากขึ้น
[
attachment=4718]
[
attachment=4719]
พระอุโบสถวัดวังก์วิเวการามที่หน้านี้น้ำแห้งชัดเจน จนมองเห็นได้ครบส่วนของพระอุโบสถและประตูทางเข้า เป็นภาพที่สวยงามจริงๆ
[
attachment=4720]
วัดวังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรีแล้ว ยังเป็นวัดที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับคนพื้นถิ่น และเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย และกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เปรียบหลวงพ่ออุตตมะเป็น "เทพเจ้าแห่งชาวมอญ" วัดวังก์วิเวการาม จึงเกิดจากพลังศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อ และเป็นวัดที่เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" วัดจึงเป็นเสมือนตัวแทนหลวงพ่อ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมอญ ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีของมอญ และจัดงานอื่นๆ เช่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการจัดงานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่ออุตตมะ มีงานกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมทางศาสนา งานแข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่นการรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และมีการแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมชาวไทยรามัญ
[
attachment=4721]
เข้าไปไหว้พระด้านในพระอุโบสถ คนเยอะมาก
[
attachment=4722]
เสร็จแล้วก็กลับออกมาปล่อยปลา ปล่อยตะพาบ เสริมบุญกันเพราะวันนี้เป็นวันพระใหญ่ด้วย (วันวิสาขบูชา)
จากนั้นก็ล่องเรือลัดเลาะต่อไปยังวัดที่ 3 วัดสุดท้าย คือ “
วัดศรีสุวรรณ”
[
attachment=4723]
วัดศรีสุวรรณ นี่อยู่กลางน้ำเลยครับ แม้ช่วงนี้น้ำจะน้อยแต่ก็ยังท่วมถึงฐานพระอุโบสถอยู่ เรือสามารถจอดเทียบท่าที่ฐานพระอุโบสถได้เลย สอบถามจากไกด์บอกว่าน้ำจะเยอะช่วงเดือนตุลาคม ถามว่าเวลาน้ำเยอะจะเยอะขนาดไหน ก็สังเกตได้จากยางรถยนต์ที่ผูกไว้เป็นกันชนสำหรับเรือเทียบในยามที่น้ำเยอะน่ะครับ สูงจริงๆ
[
attachment=4724]
[
attachment=4725]
ภายในพระอุโบสถวัดศรีสุวรรณ เหลือเพียงฐานประดิษฐานองค์พระพุทธรูปอยู่ด้านใน
[
attachment=4726]
ร่องรอยสมัยก่อนที่ยังคงเหลือ โผล่พ้นน้ำให้เห็นในช่วงนี้ที่น้ำน้อย นี่ถ้าเรามาในหน้าน้ำนี่จะไม่ได้เห็นแบบนี้นะเนี่ย หุหุ
เมื่อไหว้พระครบทั้ง 3 วัดแล้ว ก็ได้เวลานั่งเรือกลับมายังสะพานมอญแล้ว
[
attachment=4727]
มุมที่มองมาจากเรือจะเห็นว่าสะพานมอญทั้งสูง ใหญ่และยาวมากกก ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างจากไม้ทั้งหมดที่แข็งแรงและรับนักท่องเที่ยวได้มากขนาดนี้
หลังจากล่องเรือชมวัดและไหว้พระประมาณ 2 ชั่วโมง ก็กลับมาที่พักเพื่อทานอาหารเช้า ก่อนที่จะเช็คเอาท์ออกจาก
“บ้านสะพานรัก” พร้อมกับโบกมือลาสังขละบุรีสำหรับทริปนี้
[
attachment=4728]
เมื่อออกจากสังขละบุรี ก็มุ่งหน้ากลับตัวกาญจนบุรี แต่ก็ยังมีอีกที่หนึ่งที่อยู่ในเป้าหมายพิกัดทริปนี้เป็นพิกัดสุดท้าย นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ “
ช่องเขาขาด”
[
attachment=4729]
พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดนี้ตั้งอยู่บริเวณกองการเกษตรและสหกรณ์ กองกำลังทหารพัฒนา อำเภอไทรโยค ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ประมาณ 80 กิโลเมตร สามารถขับรถไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 323 สู่อำเภอทองผาภูมิ สังเกตได้เมื่อขับรถเลยน้ำตกไทรโยคน้อยไปประมาณ 20 กิโลเมตร ทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางซ้ายมือ ต้องแลกบัตรก่อนเข้า ไม่เสียค่าบริการครับ
[
attachment=4733]
[
attachment=4734]
เราลองเดินลงบันได คิดว่าจะไปดูสถานที่จริงสักนิ๊ด.. แต่ดูแล้ววันนี้น่าจะไม่เหมาะ อันเนื่องมาจากบ่ายแล้ว ค่อนข้างล้า หมดแรง เลยลงไปเก็บบรรยากาศนิดหน่อยแล้วกลับขึ้นมาครับ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ 555+
หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ ขับรถมาสักพัก มื้อเที่ยงก็เริ่มถามหา มื้อเที่ยงวันนี้เราฝากท้องกันที่ร้าน “
ครัวลูกสาว” ครับก่อนกลับสู่ภูมิลำเนา กลับไปทำงาน หาเงินเตรียมตัวไว้ทริปต่อไป อิอิ
[
attachment=4735]
จบทริปโดยสวัสดิภาพครับ สอบถาม แนะนำ หรือติชมกันได้นะครับ ไว้มีทริปหน้าแล้วจะเอามาเขียนรีวิวให้ติดตามกันอีกครั้งครับ บ๊าย..บาย
ขอขอบคุณเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลสนับสนุนการท่องเที่ยวและเขียนรีวิวทริปนี้ครับ
http://www.kanchanaburi.co